Saturday, October 17, 2009

ตำนานพระราหู

กำเนิดของพระราหู กำเนิดของพระราหูมีอยู่ด้วยกัน๒ตำนานด้วยกันคือ ๑.พระราหูถูกสร้างขึ้นมาโดยพระอิศวร หรือพระศิวะจากหัวกะโหลก ๑๒ หัว บดป่นเป็นผง ห่อผ้าสีทอง แล้วประพรมด้วยน้ำอัมฤตเสกได้เป็นพระราหู มีสีวรกายสีนิลออกไปทางทองแดง ทรงสุบรรณ (ครุฑ) เป็นพาหนะ มีวิมานสีนิลอยู่ในอากาศ ประจำอยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ(ทิศพายัพ) และแสดงถึงเศษวรรคที่ ๑ (ย ร ล ว) ๒.พระราหูเป็นโอรสของท้าววิประจิตติและนางสิงหิกาหรือนางสิงหะรา เมื่อเกิดมามีกายเป็นยักษ์และมีหางเป็นนาค พระราหูเป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์ ให้ผลในทางลุ่มหลงมัวเมา พระราหูเป็นมิตรกับพระเสาร์และเป็นศัตรูกับพระพุธอันมีเหตุตามนิทานชาติเวร ในอดีตชาติ พระราหูได้เกิดมาเป็นน้องร่วมท้องเดียวกันกับเทวดานพเคราะห์อีก๒องค์ คือ พระอาทิตย์ และพระจันทร์ โดยพระราหูเกิดเป็นน้องสุดท้อง ครั้งหนึ่ง พระราหูได้ร่วมทำบุญถวายพระที่มารับบิณฑบาตร่วมกับพี่ทั้ง๒คน พระอาทิตย์ตักบาตรในครั้งนั้นด้วยภาชนะทอง พระจันทร์ตักบาตรด้วยภาชนะเงิน ส่วนพระราหูตักบาตรด้วยภาชนะที่ทำมาจากกะลามะพร้าว เมื่อทั้ง๓พี่น้องได้มาเกิดเป็นเทวดานพเคราะห์ พระอาทิตย์จึงมีรัศมีและวรรณะเปล่งปลั่งดุจทองคำ พระจันทร์มีรัศมีและวรรณะเป็นสีขาวสว่างดุจเงิน และพระราหูมีรัศมีและวรรณะเป็นสีนิลออกไปทางทองแดง (แต่ในบางตำราก็ว่ากายของพระราหูนั้นมีสีดำบ้าง สีทองบ้าง แตกต่างกันไป) สาเหตุที่พระราหูมีกายเพียงครึ่งท่อน มีเรื่องเล่าว่า เมื่อครั้งที่เหล่าเทวดาได้ทำพิธีกวนเกษียรสมุทรเพื่อให้ได้น้ำอัมฤตนั้นมีทั้งเทวดาและยักษ์ทั้งหลายเข้าร่วมทำพิธี พระราหูได้แอบอยู่ในกลีบเมฆ เมื่อทำพิธีสำเร็จพระราหูจึงรีบลอบดื่มน้ำอัมฤตที่เกิดขึ้นนั้น พระอาทิตย์และพระจันทร์ได้เห็นเข้าจึงรีบเอาความนั้นไปทูลบอกพระนารายณ์หรือพระวิษณุ พระนารายณ์ทราบจึงขว้างจักรตัดไปถูกกลางตัวพระราหูขาดกลายเป็นสองท่อน แต่ด้วยว่าน้ำอัมฤตที่พระราหูได้ดื่มนั้นไหลไปจนถึงกลางตัวพระราหูแล้วพอดี ครึ่งบนของพระราหูที่ถูกตัดออกจึงกลายเป็นอมตะ ส่วนครึ่งร่างนั้นได้กลายมาเป็นพระเคราะห์องค์ที่๙แห่งเหล่าเทวดานพเคราะห์ซึ่งก็คือ พระเกตุ จากนั้นเมื่อครั้งใดที่พระราหูได้พบเจอพระอาทิตย์หรือพระจันทร์ พระราหูก็จะจับมากลืนกินด้วยความโกรธแค้นที่เทวดาทั้งสององค์นำเรื่องไปทูลพระนารายณ์ แต่อมไว้ในปากได้ไม่นานก็ต้องคายออกมาเพราะทนความร้อนและรัศมีของเทวดานพเคราะห์ทั้งสองไม่ได้ เกิดเป็นเหตุของปรากฏการณ์สุริยุปราคาและจันทรุปราคาตามคติความเชื่อของคนโบราณ ในโหราศาสตร์ไทย พระราหูถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ ๘ และด้วยเหตุที่สร้างขึ้นมาจากหัวกะโหลก ๑๒ หัว จึงมีกำลังพระเคราะห์เป็น ๑๒ *อ้างอิง พรหมชาติ ฉบับหลวง ฉบับประชาชน

Thursday, October 15, 2009

10 อันดับ สัตว์ที่อายุยืนที่สุด

10 อันดับ สัตว์ที่อายุยืนที่สุด อันดับ 10 คือ "ลิง" ญาติห่างๆ ของมนุษย์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วลิงจะมีอายุเฉลี่ย 25 ปี อันดับ 9 ได้แก่ "ช้าง" ซึ่งมีอายุเฉลี่ย 60 ปี โดยจะขึ้นอยู่กับการดูแล อาหารการกินและความเครียด ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้เปรียบเทียบอายุขัยระหว่างช้างเอเชียและช้างแอฟริกาแล้วพบ ว่า ช้างแอฟริกาที่ต้องผจญกับสัตว์ป่านานาชนิดและอาหารการกินที่ขัดสนกว่า ทำให้พวกมันเครียดและมีอายุขัยน้อยกว่าช้างเอเชีย อย่างไรก็ดี มีบันทึกว่าประเทศญี่ปุ่นเคยมีช้างที่มีอายุมากที่สุดในโลกคือ 86 ปี อันดับ 8 คือสัตว์ที่ไม่มีใครอยากให้มันมีชีวิตที่ยืนยาวนัก เพราะมันมักได้รับบทตัวร้ายในละครเสมอๆ นั่นคือ "อีกา" นั่นเอง ด้วยเหตุผลที่อีกาจะมีคู่เพียงตัวเดียวตลอดอายุขัย ทำให้มันไม่เหนื่อยล้าจนเกินไป นอกจากนี้ การสืบพันธุ์ยังเป็นตัวกำนันนาฬิกาชีวภาพให้หมุนเร็วขึ้นด้วย อีกาจึงมีอายุขัยสูงถึง 90 ปี ซึ่งพบอีกว่านกหลายๆ ชนิดก็มีอายุที่ยืนยาวไม่ต่างจากอีกามากนัก เช่น นกกระตั้ว อันดับ 7 คือ "กุ้งก้ามกราม" ด้วยอายุขัย100 ปี ถือว่าอายุยืนที่สุดในสัตว์จำพวกมีเปลือกแข็งด้วยกัน ด้วยเหตุผลที่มันมีการเคลื่อนไหวและเผาผลาญพลังงานน้อย อันดับ 6 คือ "หอยมุกน้ำจืด" ด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เผาผลาญพลังงานน้อย กินน้อย ใช้ก๊าซออกซิเจนในการหายใจน้อย ทำให้มันสามารถคว้าอันดับ 6 มาครองได้ ด้วยอายุขัยมากกว่า 110 ปี อันดับ 5 คือ มนุษย์เรานี่เอง โดยมีอายุขัยสูงสุด 120 ปี ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อที่จารึกไว้ในคัมภีร์ศาสนาคริสต์และฮินดูที่ว่า มนุษย์จะมีอายุขัยได้ไม่เกิน 120 ปี อย่างไรก็ตามระยะหลังมานี้ มนุษย์มีแนวโน้มที่จะมีอายุทะลุ 100 ปีมากขึ้นเรื่อยๆ เคล็ดลับการมีอายุยืนของผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายล้วนระบุตรงกันถึงการบริโภค อย่างพอดี การออกกำลังกายแต่พอดี ไม่ใช้ร่างกายอย่างหักโหมและมีทัศนคติที่ดี อันดับ 4 ตกเป็นของปลาโบราณร่วมยุคกับไดโนเสาร์ที่มีไข่ที่เอร็ดอร่อยที่สุดในโลก นั่นคือ "ปลาสเตอร์เจียน" ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พบว่า มันสามารถมีอายุได้สูงถึง 150 ปีทีเดียว โดยคาดกันว่าน่าจะเป็นผลมาจากยีนอายุยืนที่พิสูจน์แล้วมามีอยู่จริงของมัน อันดับ 3 ตกเป็นของพี่เบิ้มสิ่งมีชีวิตนั่นคือ "ปลาวาฬออร์ก้าในทวีปแอนตาร์กติก" ด้วยอายุขัย 200 ปี อันดับ 2 "เต่า" ถือเป็นสิ่งมีชีวิตอายุยืนอันดับ 2 ที่มีอายุขัยประมาณ 250 ปี โดยเต่าที่มีอายุยืนที่สุดในโลกขณะนี้คือ "เต่ากาลาปากอส" ที่มีชื่อว่า "แฮเรียน" ตัวเดียวกันกับที่ "ชาร์ลส์ ดาร์วิน" นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้อง จับมันมาใช้ชีวิตเมืองเมื่อหลายสิบปีก่อน โดยชาร์ลสเองก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สิ่งมีชีวิตชนิดนี้มีอายุยืนกว่าเขาเองเสียอีก โดยสาเหตุที่เชื่อว่าเต่ามีอายุยืนยาว สืบเนื่องจากการเคลื่อนไหวที่เนิบช้า และความไม่เดือดเนื้อร้อนใจใดๆ นั่นเอง อันดับที่ 1 จะเป็นของใครไปไม่ได้เลย นอกจากสิ่งมีชีวิตที่ใช้ชีวิตดำดิ่งอยู่ก้นมหาสมุทรอันมืดมิดด้วยอุณหภูมิเย็นเฉียบ มันคือ "ฟองน้ำยักษ์" ซึ่งมีอายุสูงอย่างไม่น่าเชื่อถึง 10,000 ปี หรืออาจกล่าวว่า มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวันตายก็ได้ และเมื่อถามถึงปัจจัยที่ทำให้ฟองน้ำยักษ์มีอายุยืนที่สุดในโลก หลายคนอาจเบนหน้าหนีด้วยที่ว่า มันแทบไม่กินและไม่กระดุกระดิกเลย จนนักวิทยาศาสตร์ถึงกับแซวมันว่า หากมนุษย์ต้องการที่จะมีอายุยืนต้องอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ไม่กินอาหารและอยู่นิ่งๆ เหมือนโดนสต๊าฟไว้แล้ว ก็เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากอายุยืนเหมือนมันอย่างแน่นอน

Wednesday, October 14, 2009

แม่

" แม่ แม่ แม่ คำนี้มีความหมาย " แม่ แม่ แม่ คำนี้มีความหมาย มีพระคุณมากมาย...หลายสถาน แม่เป็นได้..หลายสิ่งหลายประการ เป็นธนาคาร..เป็นพระพรหม...เป็นร่มไทร แม่เป็นผู้ให้..กำเนิด..เกิดลูกรัก แม่เป็นผู้ให้..ที่พัก..พิงอาศัย เป็นผู้ให้ความอบอุ่น..ทั้งกายใจ เป็นผู้ให้..อะไร..อะไร..ไม่ลามือ ลูกเจ็บไข้..แม่ก็ให้การรักษา ลูกโตมา...แม่ก็ส่ง..เรียนหนังสือ ลูกต้องการ..ตำรา..แม่หาซื้อ ลูกปรึกษา...หารือ..แม่ยินดี ลูกคนใดกระทำ..กรรมแก่แม่ ลูกเลวแท้..ชั่วช้า...สิ้นราศี ลูกด่าแม่..ลูกตีแม่..ลูกกาลี ลูกไม่ดี..ทำแม่ช้ำ..น้ำตานอง น้ำตาแม่..รินไหล..เมื่อลูกร้าย น้ำตาแม่..เป็นสาย..เมื่อลูกหมิ่น น้ำตาแม่..หลั่งลง..รดแผ่นดิน เมื่อได้ยิน...ลูกเสเพล...เนรคุณ ------------------------------------- สายเรียกซ้อนจากแม่ ------------------------------------ ในขณะที่.... ผมก็เป็นเช่นเด็กวัยรุ่นทั่วๆ ไป เรียน เที่ยว นอน กิน ดึกๆ ผมก็โทรคุยกับแฟนของผม ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้มันก็เป็นกิจวัตรประจำวันของผม และผมก็เชื่อว่าใครๆ เค้าก็ทำแบบนี้กัน 'จ้า ตัวเอง วันนี้กินข้าวรื้อยาง' ... 'กินกับอะไรบ้าง แล้วตอนกินตัวเองคิดถึงเค้ามั้ยเนี่ย' ... "ฝันดีน๊า ... รักน๊า จุ๊บๆ"... 'ตัวเองวางก่อนดิ. ... ผมยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ตอนดึกไปกับการคุยโทรศัพท์ กับหวานใจของผม ใครจะมาว่าผมไร้สาระ ผมไม่สน.. มันเรื่องปกติของวัยรุ่นนี่.. 'เอ้อ เกือบลืมไปอีกอย่าง กิจวัตรอีกอย่างนึงของผมในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ก็ คือ.. แม่ของผมมักชอบโทรหาผมทุกวัน' 'ตอนนี้ลูกอยู่หอรึยัง' 'เย็นนี้กินข้าวอิ่มมั้ย' 'วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง' 'อย่าไปเที่ยวที่ไหนไกลนะ' โธ่!คำถามเดิมๆ ผมก็ตอบไปแบบเดิมๆ แม่ผมก็ไม่เบื่อซักที ยังคงโทรหาผมเป็นประจำ โชคดีที่ผมพยายามตัดบทคุย ผมกับแม่น่ะคุยกันไม่กี่นาทีก็วางแล้ว ก็มันไม่มีอะไรจะคุยจะให้ผมทำยังไง จนกระทั่งวันนั้น...ผมก็ยังคงคุยกับสุดที่รักของผมตามปกติ ..ตัวเองตอบเค้าได้รึยังว่ารักเค้ามั้ย' ..เร็วๆสิ เค้าบอกรักตัวเองไปแล้วนะ' ..จะใจร้ายไม่บอกรักเค้าอีกหรอ' ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ เสียงจากโทรศัพท์บอกผมว่ามีสายซ้อน ผมมองไปที่หน้าจอมันขึ้นชื่อว่า 'Home' ...โธ่ แม่โทรมาทำไมตอนนี้เนี่ย กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเลย.. ผมไม่สลับสายผม ผมยังคงคุยกับสุดที่รักของผมต่อไป เพราะผมรู้ว่าสิ่งที่แม่จะคุยกับผมก็คงเป็นประโยคเดิมๆ ...และนั่นก็เป็นโอกาสสุดท้าย ที่ผมจะมีโอกาสฟังเสียงของแม่... .............................................................. หลังจากนั้นไม่นานทางญาติของผมโทรมาบอกผมว่า.. ...เมื่อคืนนี้บ้านของผมถูกขโมยเข้า และแม่ของผมขัดขืน จึงถูกโจรใช้มีดแทงเข้าที่ท้อง แม่เสียชีวิตเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว ....... ญาติของผมเล่าอีกว่าตอนไปพบศพแม่นั้น ในมือของแม่กำโทรศัพท์ไว้แน่น .....และเบอร์โทรออกล่าสุดของเธอไม่ใช่โทรแจ้งตำรวจ หรือเรียกรถพยาบาล แต่แม่เลือกที่จะโทรหา ..ผม สิ่งสุดท้ายในชีวิตที่แม่ผมเลือกที่จะทำคือ โทรศัพท์หาผม เพื่อฟังเสียงของผม วินาทีนั้น...ผมพูดอะไรไม่ออก มือและตัวของผมสั่น ..ผู้หญิงคนเดียวในโลก ที่คุยกับผมเป็นคนแรกในชีวิต ..ผู้หญิงคนเดียวที่ผมสามารถที่จะคุยกับเธอได้ทุกเวลา โดยที่ผมไม่ต้องเตรียมบทพูดใดๆ ไม่ต้องกังวลว่าเธอจะ ประทับใจหรือไม่ ไม่ต้องมีมุข ไม่ต้องมีคำหวานใดๆ ...คนเดียวในโลก ที่โทรมาหาผมเพียงแค่ฟังผมพูดประโยคเดิมๆ ...คนเดียวในโลกที่ไม่ว่าโทรศัพท์เธอจะโปรโมชั่นแพงแค่ไหนก็ยังโทรหา ผม ...และคนเดียวในโลก ที่เลือกคุยกับผมในวินาทีสุดท้ายในชีวิต................... ในบางครั้ง ประโยคที่ว่า 'ไม่มีคำว่าสาย หากเราคิดที่จะแก้ตัว มันก็ไม่เป็นความจริง 'เพราะบางปรากฏการณ์ในโลก เกิดขึ้นได้แค่ครั้งเดียว' อาจเป็นเพราะเวรกรรมของผม ผมเพิ่งรู้ซึ้ง กับประโยคที่ว่า ...'เราจะรู้ว่าสิ่งใดสำคัญ ก็ต่อเมื่อเราต้องเสียมันไป' ทุกวันนี้ผมนั่งมองโทรศัพท์ รอที่จะตอบคำถามเดิมๆ ให้ผู้หญิงคนหนึ่งฟัง แต่ผู้หญิงคนนั้นคงไม่มีอีกแล้ว ..... -------------------------------------- อ่านเจอหลายเวป เลยเก็บไว้ที่blog

Labels: